เมื่อพูดถึงการพูดคุยภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน หลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอน อาจดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญหรือกังวลใจกับมันมากนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องจับปากกาหรือดินสอขึ้นมาเขียนตัวอักษรลงไปในกระดาษแล้วละก็ การรู้วิธีใช้เครื่องหมายวรรคตอนจะกลายเป็นเรื่องจำเป็นขึ้นมาทันที! วันนี้ English Munmun ได้รวบรวมหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษพร้อมกับตัวอย่างมากมายมาให้ทุกคนกัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย!
สรุปหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation) ในภาษาอังกฤษ
1. ทำไมการรู้ “หลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอน” ถึงเป็นเรื่องจำเป็น?
เครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation) คือ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่มีไว้เพื่อใช้ประกอบการเขียนข้อความเพื่อเป็นประโยชน์แก่การแบ่งวรรคตอน เปรียบเสมือนป้ายบนถนนที่คอยชี้นำทางให้ผู้อ่านสามารถรับรู้ว่าเมื่อไหร่หรือตรงจุดไหนควรหยุด ชะลอความเร็ว หรือ เน้นย้ำ รวมถึงยังช่วยทำให้ผู้อ่านเข้าใจและสามารถแยกแยะบริบทของแต่ละข้อความได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การรู้หลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนจึงเป็นอีกทักษะหนึ่งที่ควรมีติดตัวเอาไว้
นอกจากนี้ ยังเป็นทักษะที่มีความสำคัญในการเขียนเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การเขียนอีเมล การเขียนรายงาน การเขียนสรุปการประชุม หรือ การเขียนรูปแบบอื่น ๆ ที่คนทุกช่วงวัยสามารถพบได้ แต่ควรพึงระวังไว้ว่า วิธีใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาไทยและวิธีใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษมีความคล้ายแต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ระวังสับสน! หลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาไทยบางอย่างอาจไม่สามารถนำมาปรับใช้กับวิธีใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษได้เสมอไป
สำหรับมือใหม่ ทักษะการเขียนอาจไม่ใช่ทักษะแรกที่เหมาะสมแก่การเริ่มต้นฝึกภาษาอังกฤษ สามารถเข้าไปดู 5 ขั้นตอนเรียนด้วยตัวเอง เพื่อหาแนวทางก่อนได้เลย!
2. Period/Full stop (.)
Period (American English) หรือ Full Stop (British English) เป็นเครื่องหมายที่หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี โดยหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 แบบดังนี้
2.1 ใช้เครื่องหมาย . ที่ท้ายประโยคเพื่อเป็นการแสดงว่าจบประโยค/จบความ
ตัวอย่าง:
The cat fell asleep in his arms.
We walk to school every day.
2.2 ใช้เครื่องหมาย . หลังตัวอักษรเพื่อเป็นการแสดงถึงอักษรย่อของคำ (e.g./i.e./etc.)
ตัวอย่าง:
Many countries export tropical fruits, e.g., bananas, pineapples, and mangoes.
The team decided to implement a new policy, i.e., a flexible work schedule for employees.
3. Question Mark (?)
Question Mark (?) หรือ เครื่องหมายคำถาม ที่ต้องขอบอกว่าขาดไม่ได้เลย เพราะถ้าหากไม่มีเจ้าเครื่องหมายนี้แล้ว เราคงพลาดหลาย ๆ อย่างไป ไม่ว่าจะเป็นคำเชิญ มุกตลก หรือ คำตอบของหลาย ๆ คำถามที่เกิดจากความสงสัยใคร่รู้ของมนุษย์ โดยหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้นั้นง่ายมาก ๆ เพียงนำเจ้าเครื่องหมาย ? ไปไว้ท้ายประโยคคำถามที่เราต้องการคำตอบหรือข้อมูลจากคู่สนทนา หรือจะใช้กับประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ (Rhetorical Question) ก็ได้เช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง:
Where is the nearest coffee shop?
Could my day get any worse? (Rhetorical Question)
4. Quotation Marks (“ ”)
Quotation Marks (“ ”) หรือเครื่องหมายคำพูด มีหลักการใช้ตามชื่อเรียก โดยเราสามารถใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้นเป็นคำพูดหรือความนึกคิด เช่น She said, “I’ll be there by 5 p.m.” นิยมใช้แบบคู่ (“ ”) ในอเมริกา และ แบบเดี่ยว (‘ ’) ในอังกฤษ แต่สามารถใช้ร่วมกันได้ในกรณีที่มีคำพูดอื่นแทรกเข้ามาในอีกคำพูด
ตัวอย่าง:
She said, “John told me, ‘I’ll be there by 5 p.m.’”
นอกจากนี้ การใช้เครื่องหมาย “ ” ยังถูกนำไปใช้ในการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูลในส่วนของบรรณนานุกรม โดยหลักการใช้จะแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบที่ผู้เขียนเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นแบบ APA MLA หรือ Chicago สามารถศึกษารูปแบบการอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่ Cite Sources
5. Exclamation Mark (!)
Exclamation Mark (!) หรือ เครื่องหมายตกใจมักถูกนำมาใช้ท้ายคำ วลี หรือประโยคที่เป็นคำอุทานเพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติต่อคน หรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ท้ายข้อความสั้น ๆ ที่เป็นคำสั่งหรือคำเตือนได้อีกด้วย
ตัวอย่าง:
Wow! That was an amazing performance!
Stop! Look both ways before crossing the street.
6. Colon (:)
เคยจำเครื่องหมาย Colon (:) สลับกับ Semicolon (;) กันหรือเปล่า? แม้จะมีรูปร่างและลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่วิธีใช้ต่างกันนะ! โดยหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบดังนี้
6.1 ใช้เครื่องหมาย : เพื่อขยายความประโยคก่อนหน้า
ตัวอย่าง:
The reason is simple: I forgot to set the alarm.
There’s one thing you should remember: always be kind.
6.2 ใช้เครื่องหมาย : คั่นกลางระหว่างเวลา หรือ อัตราส่วน
ตัวอย่าง:
The flight departs at 9:45 a.m.
The ratio of boys to girls in the class is 2:1.
6.3 ใช้เครื่องหมาย : แทนการใช้ as follows (ดังต่อไปนี้) ในการบอกรายการหรือรายละเอียดต่าง ๆ
ตัวอย่าง:
I have three favorite colors: red, blue, and green.
He enjoys various genres of music: classical, jazz, and rock.
7. Semicolon (;)
Semicolon (;) เอ…เครื่องหมายนี้มันอ่านยังไงกันนะ? เซมิโคลอนเหรอ? หรือต้องอ่านว่าเซมายโคลอน? English Munmun ขอตอบเลยว่า “อ่านได้ทั้งสองแบบ!” โดยหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้แบ่งออกเป็น 3 แบบดังนี้
7.1 ใช้เครื่องหมาย ; เพื่อเชื่อม independent clauses ที่มีความเกี่ยวเนื่องเข้าไว้ด้วยกันโดยไม่ใช้คำเชื่อม!
ตัวอย่าง:
The book was captivating; I couldn’t put it down.
The restaurant was full; we decided to try another place.
7.2 ใช้เครื่องหมาย ; ในลิสต์รายการที่มีการใช้ comma ค่อนข้างเยอะเพื่อเลี่ยงความสับสนของผู้อ่าน
ตัวอย่าง:
I enjoy visiting cities like London, England, Paris, France, and Berlin, Germany. (ไม่ใช้ ; )
I enjoy visiting cities like London, England; Paris, France; and Berlin, Germany. (ใช้ ; )
7.3 ใช้เครื่องหมาย ; วางหน้า Conjunctive Adverb (คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้เป็นคำเชื่อม) เช่น moreover nevertheless however หรือ otherwise เป็นต้น
ตัวอย่าง:
She studied hard for the exam; however, she didn’t perform well.
I have a busy schedule this week; nonetheless, I’ll make time for our meeting.
8. Apostrophe (’)
Apostrophe (’) มีลักษณะเป็นขีดเล็ก ๆ ด้านบนถัดจากอักษร โดยเราสามารถแบ่งหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้ออกเป็น 2 แบบดังนี้
8.1 ใช้เครื่องหมาย ’ เพื่อเป็นตัวแทนของตัวอักษรที่ถูกละไปเมื่อมีการลดรูป
ตัวอย่าง:
is not = isn’t
have not = haven’t
I am = I’m
8.2 ใช้เครื่องหมาย ’ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของโดยการเติม ’s หลังคำนาม
ตัวอย่าง:
Mary‘s car is in the garage. (รถของ Mary จอดอยู่ในโรงจอดรถ)
The students‘ books are on the table. (หนังสือของนักเรียน(หลายคน)อยู่บนโต๊ะ)
ข้อสังเกตุ: คำนามที่ลงท้ายด้วย s สามารถเติมเครื่องหมาย ’ หลัง s เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของได้เลย
9. Comma (,)
Comma (,) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่มีหลักการใช้ค่อนข้างหลากหลาย โดยเราสามารถแบ่งวิธีใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้ออกเป็น 6 แบบหลัก ๆ ดังนี้
9.1 ใช้เครื่องหมาย , คั่นคำนามในรายการตั้งแต่ 3 คำขึ้นไปที่มีลักษณะการเขียนต่อ ๆ กัน
ตัวอย่าง:
I bought apples bananas and oranges. ❌
I bought apples, bananas, and oranges. ✅
I bought apples, bananas and oranges. ✅
9.2 ใช้เครื่องหมาย , หน้าคำเชื่อม (for, and, nor, but, or, yet, so) เพื่อเชื่อม Independent Clause เข้าไว้ด้วยกัน
ตัวอย่าง:
She likes to read, but he prefers watching movies.
He smiled warmly, and she felt at ease.
9.3 ใช้เครื่องหมาย , เพื่อเชื่อม Dependent Clause กับ Independent Clause เข้าไว้ด้วยกัน
ตัวอย่าง:
When I was in Bangkok, I used to date a Thai guy.
Although it was raining, we decided to go for a walk.
9.4 ใช้เครื่องหมาย , เพื่อคั่นระหว่างส่วนขยาย (Appositive) กับคำนาม
ตัวอย่าง:
My friend, the doctor, is coming over.
The capital of France, Paris, is known for its art and culture.
9.5 ใช้เครื่องหมาย , เพื่อคั่นคำถามท้ายประโยค (Question Tag)
ตัวอย่าง:
He likes ice cream, doesn’t he?
They aren’t going to the beach, are they?
9.6 ใช้เครื่องหมาย , เพื่อคั่นระหว่างวลีที่ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายการกระทำหรือการถูกกระทำของคำนาม (Participial Phrase) กับประโยค
ตัวอย่าง:
Studying in the library, my sister is very focused.
Thrilled by the unexpected news, she called her friends to share the joy.
เป็นยังไงกันบ้าง? ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในโลกของการทำงาน ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่จำเป็นมาก ๆ การรู้หลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะการเขียน ทำให้ความคิดของเราถูกสื่อสารออกมาผ่านตัวอักษรได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสารออกไปได้ง่าย ซึ่งหลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอนก็จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละเครื่องหมาย อาจจะต้องใช้เวลาและความคุ้นชินจากการฝึกใช้บ่อย ๆ แต่ English Munmun รับรองได้เลยว่ามีทักษะนี้ติดตัวไว้ไม่เปล่าประโยชน์แน่นอน!
สรุป
- ทำไมการรู้ “หลักการใช้เครื่องหมายวรรคตอน” ถึงเป็นเรื่องจำเป็น?
- Period/Full stop (.)
- Question Mark (?)
- Quotation Marks (“ ”)
- Exclamation Mark (!)
- Colon (:)
- Semicolon (;)
- Apostrophe (’)
คำศัพท์ที่น่าสนใจในบทความนี้
ratio (n.) = อัตราส่วน
export (v.) = ส่งออก
implement (v.) = นำไปใช้/ดำเนินการ/ทำให้มีผล
flexible (adj.) = มีความยืดหยุ่น
genre (n.) = ประเภท
captivating (adj.) = น่าดึงดูด/น่าหลงใหล
at ease (phrase) = ผ่อนคลาย/สบายใจ
culture (n.) = วัฒนธรรม
thrilled (adj.) = ตื่นเต้น/มีความสุขมาก ๆ
unexpected (adj.) = ไม่คาดคิด/คาดไม่ถึง
เรียนภาษาอังกฤษสำหรับมือใหม่ ‘เรียนชาตินี้ เก่งถึงชาติหน้า’ ที่ English Munmun กับคอร์สเรียนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากผู้เรียนกว่า 20,000 คน ว่าพูดได้จริง ไม่ใช่แค่ท่องจำ
วัดระดับภาษาอังกฤษ ฟรี! คลิกที่นี่
สนใจคอร์สเรียน คลิกที่นี่ เพื่อดูรายละเอียดได้เลย
กลับสู่สารบัญ