7 เทคนิค ปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ (Accent) ให้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา

ปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ

เคยมั้ย ฟังอังกฤษเข้าใจ คำศัพท์ก็มีในหัว แต่ทำไมเวลาสื่อสารออกไปแล้วคนฟังไม่เข้าใจ???

       ขณะที่ความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษเปิดทางสู่โอกาสมากมาย ไม่ว่าเราจะใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน การศึกษา หรือการสื่อสารทางธุรกิจ การเรียนรู้ภาษาไม่ใช่แค่เพียงการเรียนรู้คำศัพท์หรือ ไวยากรณ์ 12 tenses สำเนียงและการออกเสียงถือเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      การฝึกปรับสำเนียงภาษาอังกฤษให้มีความรื่นหูและฟังดูเป็นธรรมชาติจะทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อได้ง่ายขึ้น สำหรับคนที่ต้องการให้การพูดภาษาอังกฤษของตัวเองฟังดูมีความเป็นธรรมชาติและใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากขึ้น ในบทความนี้ English Munmun ได้รวบรวมเทคนิคที่หลาย ๆ คนควรรู้เพื่อช่วยในการปรับสำเนียงภาษาอังกฤษมาไว้ให้แล้ว ไปดูกันเลย!

7 เทคนิค ปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ (Accent) ให้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา

1. สำเนียง vs. การออกเสียง (Accent vs. Pronunciation)

ปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ (Accent)

      สำเนียง (Accent) คือ น้ำเสียง จังหวะ และรูปแบบการออกเสียงที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลหรือประชากรกลุ่มหนึ่ง โดยมีภูมิลำเนา สภาพแวดล้อม ชนชั้นทางสังคม และอื่น ๆ เข้ามาเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสำเนียงของแต่ละบุคคล กล่าวคือ ในภูมิภาคหนึ่งอาจมีการใช้น้ำเสียง วิธีการออกเสียง รวมไปถึงความหลากหลายทางคำศัพท์ที่แตกต่างออกไปจากอีกภูมิภาคหนึ่ง เช่น ภาษาอังกฤษแบบบริติช (British English) และ ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English)

      การออกเสียง (Pronunciation) คือ วิธีการพูด อ่าน หรือเปล่งเสียงคำ ๆ หนึ่งในแต่ละภาษาโดยยึดบรรทัดฐานทางภาษาเป็นหลัก จะเน้นไปที่ตำแหน่งและวิธีที่ใช้ในการเปล่งเสียงออกมาโดยไม่คำนึงถึงภูมิภาคและวัฒนธรรม เช่น การออกเสียงตัว L และ ตัว R ในภาษาอังกฤษมีความแตกต่างกัน หรือ การลงเสียงหนักเบาในแต่ละพยางค์ที่อาจส่งผลให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป เป็นต้น

2. ความหลากหลายของสำเนียงภาษาอังกฤษ (Different Accents)

สำเนียงภาษาอังกฤษ

      เคยโดนล้อสำเนียงกันบ้างหรือเปล่า? การล้อเลียนสำเนียงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนไม่กล้าที่จะฝึกพูดภาษาอังกฤษ สูญเสียความมั่นใจ และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนต้องการปรับสำเนียงภาษาอังกฤษของตัวเอง

      แต่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่มีผู้ใช้อยู่ทั่วทุกมุมโลก ส่งผลให้สำเนียงภาษาอังกฤษนั้นมีความหลากหลายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น Australian English, Scottish English, South African English และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ได้มีเพียงแค่ภาษาอังกฤษแบบบริติช หรือ ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เหมือนที่ Bullies ทั้งหลายที่ชอบล้อหรือจับผิดสำเนียงคนอื่นอาจจะเข้าใจกันไปแบบนั้นแล้วทำให้คนอื่นดูเป็นตัวตลกนะ!

      English Munmun ขอแอบกระซิบว่าแม้แต่ Native Speakers เองก็มีหลายสำเนียง และบางทีพวกเขายังไม่เข้าใจกันเองเลย ถ้าไม่เชื่อ…ลองไปดูคลิปนี้กัน! 

3. รู้จักการลงเสียงหนัก (Stress)

      ในการปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ สิ่งหนึ่งที่ควรรู้คือภาษาอังกฤษจะมีการลงเสียงหนัก (Stress) ที่คำที่มีตั้งแต่สองพยางค์ขึ้นไป ซึ่งถ้าเราลงเสียงผิดอาจทำให้ความหมายของคำนั้น ๆ เปลี่ยนไปเลย ยกตัวอย่างคำที่คนไทยมักลงเสียงผิดกันอยู่บ่อย ๆ เช่น คำว่า “Present” ถ้าเราลงเสียงหนักที่พยางค์แรก จะทำให้คำนี้กลายเป็นคำนามหรือคำคุณศัพท์ที่หมายถึง ของขวัญ/ที่เป็นปัจจุบัน แต่ถ้าเราลงเสียงหนักที่พยางค์ที่สองของคำ จะทำให้คำนี้กลายเป็นคำกริยาที่หมายถึง นำเสนอบางสิ่งบางอย่าง

      นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำเลยนะที่ถ้าลงเสียงหนักเบาผิดชีวิตเปลี่ยนทันที! ถ้าอยากรู้ว่ามีคำไหนที่เรายังลงเสียงผิดอยู่ ลองเข้าไปดู STRESS สำคัญมาก ได้เลย!

4. รู้จักเสียงสูงเสียงต่ำ (Intonation)

Intonation คือ

      แม้ว่าในภาษาอังกฤษจะไม่มีรูปวรรณยุกต์เหมือนกับภาษาไทย แต่รู้มั้ยว่าเจ้าของภาษาเองก็มีการใช้เสียงสูงเสียงต่ำเพื่อถ่ายทอดความหมายหรือบริบทออกมาเหมือนกัน?! การรู้จัก Intonation จะช่วยให้เราสามารถปรับสำเนียงภาษาอังกฤษของเราให้เป็นธรรมชาติและน่าฟังขึ้น โดยเราสามารถแบ่งการใช้ Intonation ออกเป็น 2 แบบดังนี้

      1. Rising intonation: การใช้เสียงสูงท้ายประโยค 

    ❀ ใช้เสียงสูงลงท้ายคำถามประเภท Yes/No Question

    ตัวอย่าง:

    Are you coming?

    ❀ ใช้เสียงสูงท้ายประโยคกึ่งบอกเล่ากึ่งคำถามเพื่อแสดงความไม่มั่นใจ (Uncertainty) 

    ตัวอย่าง:

    He said the concert starts at seven? 

      2. Falling intonation: การใช้เสียงต่ำท้ายประโยค

    ❀ ใช้เสียงต่ำท้ายประโยคใจความสมบูรณ์ธรรมดา

    ตัวอย่าง:

    He is sick.

    ❀ ใช้เสียงต่ำท้ายคำถามประเภท WH-Question 

    ตัวอย่าง:

    Who is she?

    ❀ ใช้เสียงต่ำเพื่อเน้นคำ (ไม่จำเป็นจะต้องเป็นท้ายประโยคเสมอไป) 

    ตัวอย่าง:

    Give it to me now!

ข้อสังเกต: Intonation จะทำหน้าที่เสมือน Punctuation เวลาสื่อสารด้วยคำพูด ซึ่งจะช่วยให้เราแยกแยะประเภทและบริบทของสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อได้ดียิ่งขึ้น

5. รู้จักการเชื่อมเสียง (Linking Sound)

      เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมเวลาที่เราพูดหรืออ่านอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษยาว ๆ มันมักจะติดขัด ไม่ค่อยลื่นไหลเท่าไหร่? ปัญหานี้จะหมดไปถ้าเรารู้จักกับ Linking Sound หรือ การเชื่อมเสียงท้ายของคำหนึ่งกับเสียงแรกของคำถัดไป ที่จะช่วยให้เราปรับสำเนียงภาษาอังกฤษให้เป๊ะปังขึ้น! โดยการเชื่อมเสียงจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ ดังนี้

      1. การเชื่อมเสียงพยัญชนะกับสระ (Consonant to vowel) 

              ตัวอย่าง:

    Go find it! (โกวฺ ฟายนฺดฺ อิท —> โกวฺ ฟายนฺ ดิท)

      2. การเชื่อมเสียงสระกับสระ (Vowel to vowel)

    ตัวอย่าง:

    I saw it early on. (เออ-หลิ ออน —> เออ-หลิ ยอน)

 

6. รู้จักตัดเสียงที่ไม่จำเป็น (Elision)

Elision คือ

     การตัดเสียง (Elision) มักจะถูกนำมาใช้ในการพูดภาษาอังกฤษเมื่อเกิดความลำบากในการออกเสียงพยัญชนะบางตัวที่อยู่ติด ๆ กัน โดยเทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่เจ้าของภาษามักใช้กันและจะช่วยให้เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น ไวขึ้น และปรับสำเนียงภาษาอังกฤษของตัวเองให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเพราะประหยัดแรงไปได้เยอะ! เช่น การตัดเสียง t ที่อยู่ระหว่างเสียงพยัญชนะอีกสองเสียงในประโยค See you next week!

     ตัวอย่าง:

     See you next week! (ซี ยู เนกสฺทฺ วีก) —> See you next week! (ซี ยู เนกสฺ วีก)      

     แทนที่เราจะมานั่งกังวลว่าต้องออกเสียงทั้งตัว x และ t ให้เป๊ะ ๆ เราก็ ตัดเสียง t ออกไปซะเลย  

 

7. ห้ามทำสิ่งนี้ถ้าอยาก “ปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ”

ปรับสำเนียง

    หลังจากที่เรารู้เทคนิคปรับสำเนียงภาษาอังกฤษกันไปพอสมควรแล้ว English Munmun ขอใช้พื้นที่นี้ในการแบ่งปัน 3 สิ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะเผลอทำโดยไม่รู้ตัวเวลาฝึกปรับสำเนียงภาษาอังกฤษเพื่อเป็นประโยชน์และอาจช่วยให้มีความสุขกับการฝึกมากขึ้น มาดูกันเลย!

      1. ฟังอย่างเดียวแต่ไม่ฝึก

      อยากปรับสำเนียงภาษาอังกฤษให้เป๊ะปัง อย่าเอาแต่ฟัง! เราไม่มีทางเก่งได้ถ้าเราไม่ลองผิดลองถูก ดังนั้น เวลาที่เราได้ยินภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็นจากเจ้าของภาษาหรือสื่อต่าง ๆ ให้เราลองฝึกพูดตามออกมาดัง ๆ ให้ตัวเองได้ยิน จากนั้น ค่อย ๆ ลองสังเกตตัวเองว่ายังมีจุดไหนที่ต้องเพิ่มเติม โดยเราสามารถใช้เทคนิคที่ English Munmun ให้ไปด้านบนในการฝึกได้ด้วยนะ!

      2. ฉันต้อง perfect

      แน่นอนว่าใคร ๆ ก็อยากเก่ง แต่คนเก่งไม่ได้แปลว่าสมบูรณ์แบบ แม้แต่ตัวเจ้าของภาษาเองก็สามารถพูดหรือออกเสียงผิดได้ ดังนั้น เราก็ไม่จำเป็นจะต้องกดดันตัวเองหรือมุ่งเป้าไปที่ความสมบูรณ์แบบเท่านั้น ในทางกลับกัน การมุ่งเป้าไปที่การสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ค่อย ๆ ปรับสำเนียงภาษาอังกฤษและพัฒนาไปเรื่อย ๆ จะทำให้เรามีความสุขกับการฝึกและการเห็นตัวเองพัฒนาขึ้นในแต่ละวันมากกว่า 🙂

      3. ยึดติดกับสำเนียงเดียว

      หลายคนอาจมีสำเนียงโปรดในใจและอยากที่จะปรับสำเนียงภาษาอังกฤษของตัวเองให้เป๊ะแบบนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่อย่างที่ English Munmun ได้บอกไปข้างต้นว่าสำเนียงภาษาอังกฤษนั้นมีความหลากหลาย ดังนั้น การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทดลองฝึกฟังหรือออกเสียงหลาย ๆ สำเนียงจนคุ้นชินก็จะช่วยเปิดโอกาสให้เราสามารถสื่อสารกับผู้คนได้หลากหลาย แถมยังยังสนุกอีกด้วย!

สรุป

  1. รู้จักความต่างระหว่างสำเนียงกับการออกเสียง (Accent vs. Pronunciation)
  2. รู้จักความหลากหลายของสำเนียงในภาษาอังกฤษ (Different Accents)
  3. รู้จักการลงเสียงหนัก (Stress)
  4. รู้จักเสียงสูงเสียงต่ำ (Intonation)
  5. รู้จักการเชื่อมเสียง (Linking Sound)
  6. รู้จักสิ่งที่ไม่ควรทำในการปรับสำเนียงภาษาอังกฤษ

คำศัพท์ที่น่าสนใจในบทความนี้

Bullies (n.) = อันธพาล/คนที่ชอบรังแกคนอื่น

Native speakers (n.) = เจ้าของภาษา

Punctuation (n.) = เครื่องหมายวรรคตอน

เรียนภาษาอังกฤษสำหรับมือใหม่ ‘เรียนชาตินี้ เก่งถึงชาติหน้า’ ที่ English Munmun กับคอร์สเรียนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากผู้เรียนกว่า 20,000 คน ว่าพูดได้จริง ไม่ใช่แค่ท่องจำ

วัดระดับภาษาอังกฤษ ฟรี! คลิกที่นี่

สนใจคอร์สเรียน คลิกที่นี่ เพื่อดูรายละเอียดได้เลย

กลับสู่สารบัญ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ประเภทจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้ประเภทจำเป็นสำหรับระบบเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า